10 เรื่องจริงอิสราเอล (Israel) ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน ?
10 เรื่องจริงอิสราเอล (Israel) | อิสราเอล เป็นประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง มีประชากรเพียงประมาณ 9 ล้านคน แต่กลับมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยาวนานและซับซ้อน อิสราเอลเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความท้าทาย แต่ก็มีความสวยงามและความเจริญรุ่งเรืองมากมาย วันนี้เราจะมาจัดอันดับเรื่องจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ ประเทศอิสราเอล มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
อันดับที่ 10 : ต้นไม้โบราณ

อิสราเอลมีต้นไม้โบราณหลายชนิด ต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดบางต้นมีอายุหลายพันปี
- ต้นอินทผาลัม Methuselah มีอายุประมาณ 2,000 ปี
- ต้นโอ๊กแห่งชีวิต มีอายุประมาณ 1,000 ปี
- ต้นสนไซเปรสแห่งเอโลน มีอายุประมาณ 2,000 ปี
ต้นไม้โบราณเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของอิสราเอล พวกมันเติบโตมาเป็นเวลาหลายพันปีและยังคงยืนหยัดอยู่จนถึงทุกวันนี้
อันดับที่ 9 : ออกกฎหมายห้ามแบนนางแบบที่ผอมมากเกินไป

อิสราเอลได้ออกกฎหมายห้ามนางแบบที่ผอมเกินไปมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2013 กฎหมายนี้กำหนดว่านางแบบที่จะปรากฏตัวในสื่อสิ่งพิมพ์หรือโฆษณาในอิสราเอลจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพจากแพทย์ และมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อย่างน้อย 18.5
กฎหมายนี้ถูกนำมาใช้เพื่อต่อสู้กับปัญหาการกินผิดปกติและโรคคลั่งผอมในวัยรุ่น อิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราโรคคลั่งผอมสูงที่สุดในโลก กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรด้านสุขภาพและกลุ่มสิทธิสตรี
กฎหมายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความเป็นศิลปะ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่ากฎหมายนี้จำเป็นเพื่อปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
ต่อไปนี้คือรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้:
- นางแบบที่จะปรากฏตัวในสื่อสิ่งพิมพ์หรือโฆษณาในอิสราเอลจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพจากแพทย์ และมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อย่างน้อย 18.5
- แพทย์จะต้องออกใบรับรองทางการแพทย์ที่ยืนยันว่านางแบบมีสุขภาพดีและเหมาะสมที่จะทำงานเป็นนางแบบ
- สื่อสิ่งพิมพ์หรือโฆษณาที่ละเมิดกฎหมายนี้อาจถูกปรับสูงสุด 75,000 เชเกล (ประมาณ 2.8 ล้านบาท)
กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้กับนางแบบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวอิสราเอลหรือชาวต่างชาติ กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากนางแบบหลายคนที่มองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการต่อสู้กับปัญหาการกินผิดปกติและโรคคลั่งผอม
อันดับที่ 8 : สุสานสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สุสานสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ในเมืองฮาดารา ประเทศอิสราเอล เรียกว่า “สุนัขฮาดารา” ครอบคลุมพื้นที่กว่า 12 เอเคอร์ (4.9 ตารางกิโลเมตร) และฝังสุนัขมากกว่า 100,000 ตัว
สุสานก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดยกลุ่มคนรักสุนัขที่ต้องการมอบสถานที่พักผ่อนสุดท้ายให้กับเพื่อนขนยาวของพวกเขา สุนัขทุกตัวจะได้รับป้ายชื่อส่วนบุคคลและหลุมฝังศพที่ตกแต่งด้วยดอกไม้และของเล่น
สุสานสุนัขฮาดาราเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ได้รับความนิยมสำหรับเจ้าของสุนัขและคนรักสัตว์อื่นๆ ทุกวันมีผู้คนหลายร้อยคนมาที่สุสานเพื่อเยี่ยมชมหลุมศพของสัตว์เลี้ยงที่ล่วงลับไปแล้วหรือเพียงแค่เดินเล่นและชื่นชมธรรมชาติ
อันดับที่ 7 : ระบบบำบัดน้ำเสีย

อิสราเอลเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศแห้งแล้งและขาดแคลนทรัพยากรน้ำ ด้วยเหตุนี้ การจัดการน้ำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ อิสราเอลได้พัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งช่วยให้สามารถนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 86% ของน้ำเสียจากครัวเรือนในอิสราเอลได้รับการบำบัดแล้ว น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วส่วนใหญ่ใช้สำหรับชลประทาน น้ำเสียบางส่วนใช้สำหรับอุตสาหกรรม และน้ำเสียบางส่วนใช้สำหรับการผลิตน้ำดื่ม
อิสราเอลเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสีย เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยประหยัดน้ำและปกป้องสิ่งแวดล้อม
ต่อไปนี้คือตัวอย่างเทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสียที่อิสราเอลนำมาใช้:
- การบำบัดน้ำเสียด้วยจุลินทรีย์ เทคโนโลยีนี้ใช้จุลินทรีย์เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย
- การบำบัดน้ำเสียด้วยพืช เทคโนโลยีนี้ใช้พืชเพื่อดูดซับสารอาหารและสารมลพิษจากน้ำเสีย
- การบำบัดน้ำเสียด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เทคโนโลยีนี้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทำให้น้ำเสียร้อนขึ้น ซึ่งช่วยในการกำจัดสารมลพิษ
อันดับที่ 6 : สตาร์บัคส์ยอมแพ้ในอิสราเอล

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2023 สตาร์บัคส์ประกาศว่าจะปิดร้านทั้งหมดในอิสราเอลภายในสิ้นปี 2023 นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับบริษัท แต่สตาร์บัคส์เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจในระยะยาว
สตาร์บัคส์เปิดร้านสาขาแรกในอิสราเอลในปี 2010 และขยายสาขาเป็น 13 แห่งภายในปี 2023 อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากร้านกาแฟท้องถิ่นในอิสราเอล และบริษัทก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
สตาร์บัคส์กล่าวว่าจะยังคงให้บริการจัดส่งกาแฟและชาในอิสราเอลผ่านแอปพลิเคชันของตน
ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่สตาร์บัคส์ตัดสินใจปิดร้านในอิสราเอล:
- การแข่งขันที่รุนแรง สตาร์บัคส์เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากร้านกาแฟท้องถิ่นในอิสราเอล ร้านกาแฟเหล่านี้นำเสนอกาแฟและชาที่มีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้
- เป้าหมายทางการเงินที่ไม่สามารถบรรลุได้ สตาร์บัคส์ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินสำหรับธุรกิจในอิสราเอล บริษัทกล่าวว่าปัจจัยหลายประการมีส่วนทำให้เรื่องนี้ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงและเศรษฐกิจที่ผันผวน
การตัดสินใจของสตาร์บัคส์ที่จะปิดร้านในอิสราเอลถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับธุรกิจและสำหรับผู้บริโภคในอิสราเอล สตาร์บัคส์เป็นแบรนด์กาแฟที่มีชื่อเสียงระดับโลก และร้านกาแฟของสตาร์บัคส์เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพบปะสังสรรค์และการทำงาน
อันดับที่ 5 : เครื่องหมายบวกในอิสราเอล

เครื่องหมายบวกในอิสราเอลมีความหมายหลายอย่าง โดยทั่วไปแล้ว หมายถึงความดี ความสุข และความสำเร็จ บางครั้งก็ใช้เพื่อแสดงการสนับสนุนหรือเห็นด้วย
- บนป้ายโฆษณาหรือป้ายโฆษณาเพื่อแสดงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- ในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อแสดงการสนับสนุนหรือเห็นด้วยกับความคิดเห็นหรือความคิดเห็น
- ในข้อความเพื่อแสดงอารมณ์เชิงบวก เช่น ความสุข ความตื่นเต้น หรือความเห็นชอบ
ในบางกรณี เครื่องหมายบวกอาจใช้เพื่อแสดงความหมายเชิงลบ ตัวอย่างเช่น อาจใช้เพื่อแสดงการล้อเลียนหรือดูถูก
โดยทั่วไปแล้ว เครื่องหมายบวกในอิสราเอลถือเป็นสัญลักษณ์เชิงบวก มักใช้เพื่อแสดงอารมณ์เชิงบวกหรือสนับสนุนบางสิ่งบางอย่าง
อันดับที่ 4 : กำแพงร้องไห้ Wailing Wall

กำแพงร้องไห้ หรือที่รู้จักในชื่อกำแพงตะวันตก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนายิว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเนินพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม กำแพงนี้เป็นซากที่เหลืออยู่ของกำแพงพระวิหารหลังที่สอง ซึ่งถูกทำลายโดยชาวโรมันในปี ค.ศ. 70
กำแพงร้องไห้เป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับการนมัสการและอธิษฐานสำหรับชาวยิวจากทั่วโลก ผู้คนมาที่นี่เพื่ออธิษฐานขอพร แสดงความขอบคุณ และแสดงความเศร้าโศก กำแพงร้องไห้ยังเป็นสถานที่แห่งการระลึกถึงบรรพบุรุษของชาวยิว
กำแพงร้องไห้เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นที่ที่ชาวยิวได้มารวมตัวกันเพื่อนมัสการและอธิษฐานมาหลายศตวรรษ กำแพงร้องไห้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของชาวยิว
อันดับที่ 3 : นครศักดิ์สิทธิ์ของ 3 ศาสนา

อิสราเอลเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ของศาสนายูดาห์ คริสต์ และอิสลาม กรุงเยรูซาเล็ม เมืองหลวงของอิสราเอล เป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญสำหรับทั้งสามศาสนา
สำหรับชาวยิว กรุงเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมมาหลายศตวรรษ กำแพงร้องไห้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนายิว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเนินพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม กำแพงนี้เป็นซากที่เหลืออยู่ของกำแพงพระวิหารหลังที่สอง ซึ่งถูกทำลายโดยชาวโรมันในปี ค.ศ. 70
สำหรับชาวคริสต์ กรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่สำคัญในพระคัมภีร์ไบเบิล เชื่อกันว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขนในกรุงเยรูซาเล็ม และทรงฟื้นคืนพระชนม์ในบริเวณเดียวกัน สถานที่สำคัญทางศาสนาคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้แก่ โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ โบสถ์อัสสัมชัญ และสุสานแห่งพระคริสต์
สำหรับชาวมุสลิม กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์อันดับสาม รองจากเมกกะและมะดีนะ เชื่อกันว่าโมฮัมเหม็ด ศาสดาของศาสนาอิสลาม ทรงขึ้นไปสวรรค์จากเนินเขาโมเรียในกรุงเยรูซาเล็ม สถานที่สำคัญทางศาสนาอิสลามในกรุงเยรูซาเล็ม ได้แก่ มัสยิดอัล-อักซอและโดมแห่งศิลา
ความศักดิ์สิทธิ์ของกรุงเยรูซาเล็มสำหรับทั้งสามศาสนาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวยิว ชาวคริสต์ และชาวมุสลิมมาหลายศตวรรษ ความขัดแย้งนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน
อันดับที่ 2 : Jerusalem Syndrome

Jerusalem Syndrome หรือ Jerusalem Tourist Psychosis หรือ Holy City Syndrome คือ ภาวะทางจิตที่พบได้บ่อยในนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนกรุงเยรูซาเล็ม ผู้ป่วยจะมีอาการทางจิตต่างๆ เช่น การเห็นภาพหลอน การได้ยินเสียงหลอน การเชื่อว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนา หรือเชื่อว่าตนเองได้รับภารกิจพิเศษจากพระเจ้า
สาเหตุของ Jerusalem Syndrome ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความเครียด ความกดดันจากการเดินทาง ความคาดหวังสูงเกินไป หรือความอ่อนแอทางจิตใจ
อาการของ Jerusalem Syndrome มักปรากฏขึ้นภายในไม่กี่วันหรือหลายสัปดาห์หลังจากมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นอันตรายได้
การรักษา Jerusalem Syndrome ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เองโดยไม่ต้องได้รับการรักษา แต่ผู้ป่วยบางรายอาจต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อันดับที่ 1 : เกือบได้เป็นประธานาธิบดี

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีของอิสราเอลในปี 1952 โดยนายกรัฐมนตรีเดวิด เบน-กูเรียน แต่ไอน์สไตน์ปฏิเสธการเสนอชื่อนี้ เหตุผลที่เขาปฏิเสธนั้นยังไม่ชัดเจน แต่เป็นไปได้ว่าเขาอาจกังวลว่าตำแหน่งประธานาธิบดีจะขัดแย้งกับงานวิจัยของเขา หรือว่าเขาอาจไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการเมือง
วันที่ 9 พฤศจิกายน ปี 1952 ชาอิม ไวซ์มัน ประธานาธิบดีคนแรกของอิสราเอล เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้เบน-กูเรียนต้องหาบุคคลที่เหมาะสมและได้รับการยอมรับจากประชาชนมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ซึ่งคนที่เขาหมายตาไว้ก็คือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั่นเอง
เบน-กูเรียนได้ส่งจดหมายถึงไอน์สไตน์เพื่อขอเสนอชื่อให้เป็นประธานาธิบดี ไอน์สไตน์ตอบรับจดหมายของเบน-กูเรียนโดยกล่าวว่าเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการเสนอชื่อ แต่เขาปฏิเสธการเสนอชื่อนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก เขากังวลว่าตำแหน่งประธานาธิบดีจะขัดแย้งกับงานวิจัยของเขา ประการที่สอง เขาอาจไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการเมือง และประการที่สาม เขาอาจไม่มั่นใจว่าเขาจะได้รับการยอมรับจากชาวยิวทั้งหมด
ไอน์สไตน์เขียนจดหมายตอบกลับเบน-กูเรียนว่า “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานาธิบดีแห่งรัฐอิสราเอล อย่างไรก็ตาม ฉันขอปฏิเสธการเสนอชื่อนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก ฉันกังวลว่าตำแหน่งประธานาธิบดีจะขัดแย้งกับงานวิจัยของฉัน ประการที่สอง ฉันอาจไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการเมือง และประการที่สาม ฉันอาจไม่มั่นใจว่าฉันจะได้รับการยอมรับจากชาวยิวทั้งหมด”
เบน-กูเรียนยอมรับการปฏิเสธของไอน์สไตน์และได้เสนอชื่อ ยาคอบ เบอร์ลิน เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เบอร์ลินได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่สองของอิสราเอลเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี 1952
สรุป 10 เรื่องจริงอิสราเอล
- อันดับที่ 10 : ต้นไม้โบราณ
- อันดับที่ 9 : ออกกฎหมายห้ามแบนนางแบบที่ผอมมากเกินไป
- อันดับที่ 8 : สุสานสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- อันดับที่ 7 : ระบบบำบัดน้ำเสีย
- อันดับที่ 6 : สตาร์บัคส์ยอมแพ้ในอิสราเอล
- อันดับที่ 5 : เครื่องหมายบวกในอิสราเอล
- อันดับที่ 4 : กำแพงร้องไห้ Wailing Wall
- อันดับที่ 3 : นครศักดิ์สิทธิ์ของ 3 ศาสนา
- อันดับที่ 2 : Jerusalem Syndrome
- อันดับที่ 1 : เกือบได้เป็นประธานาธิบดี
แหล่งอ้างอิง : LUPAS – ลูปัส
จัดอันดับเรื่องที่คุณไม่เคยรู้